Skip to main content

ตอนที่ 31 – มีเวลามากไป ทำอะไรดีครับ?


ที่ผมเขียนเรื่องนี้เป็นเพราะมีเวลาว่างมาก เนื่องจากการที่เครื่องบินที่ผมใช้บริการเพื่อเดินทางไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแวะเปลี่ยนเครื่องที่ไต้หวันต้องเสียเวลา เพราะได้รับอิทธิพลจากพายุไต้ฝุ่นเมื่อวันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากพายุไต้ฝุ่นบิลลิส (Billis) พัดเข้าเกาะไต้หวันเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ผ่านไปยังแผ่นดินใหญ่จีนในวันที่ 22 สิงหาคม ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์ทำให้มีคนตาย 11 คน บาดเจ็บ 101 คน สูญหาย 3 คน และบ้านเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้กว่าล้านหลังคาเรือน ส่วนผลที่กระทบต่อการเดินทางของผม คือ เครื่องบินที่ออกจากกรุงเทพฯ ไปยังสนามบินเจียงไคเช็คต้องออกเดินทางล่าช้ากว่ากำหนดเดิมถึง 4 ชั่วโมง ทำให้ผมต่อเครื่องบินช่วงต่อไปจากไต้หวันถึงสหรัฐอเมริกาไม่ทัน เป็นเหตุให้ผมต้องพลาดนัดกับลูกชาย ซึ่งได้นัดกันก่อนหน้านี้แล้ว และที่ผมกังวลมาก ก็คือ ผมและลูกชายได้นัดแนะกันแล้วต่างคนต่างก็ออกเดินทาง เพื่อที่จะมาพบกัน ดังนั้นการติดต่อระหว่างกันจึงลำบากมาก เนื่องจากอยู่ในช่วงการเดินทางทั้ง 2 ฝ่าย

ผมได้ขอให้เจ้าหน้าที่ของสายการบิน… พยายามติดต่อลูกชายของผมและเปลี่ยนการเดินทางให้ผม โดยใช้สายการบินอื่น แต่เจ้าหน้าที่ของสายการบินที่ว่านี้ที่ประจำอยู่กรุงเทพฯ แจ้งว่าให้ผมเดินทางไปที่ไต้หวันก่อนแล้วหน่วยงานที่ไต้หวันจะจัดการเปลี่ยนเส้นทางการเดินทางให้ และจะโทรศัพท์ไปบอกลูกชายของผมให้ตามที่เราแจ้งข้อมูลไว้ ผมจึงวางใจไม่ได้ไปเซ้าซี้อะไรเขามากนัก เพราะก็เห็นใจว่าเขามีปัญหามากมายที่จะต้องแก้ไขอยู่แล้ว แต่ผลปรากฏว่าเขาไม่ได้ทำตามที่บอกเรา ซึ่งผมมาทราบภายหลังว่าเขาทำให้เฉพาะบางคนที่โวยวายเสียงดังเท่านั้นนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมพบเหตุการณ์แบบนี้ การเดินทางไกลต้องเตรียมตัวให้พร้อมกว่านี้ คือ ควรมีชุดสำรองสัก 1 ชุด รวมทั้งเครื่องใช้ประจำวันเก็บไว้ในกระเป๋าที่เราถือติดตัว (Hand Bag) และนำขึ้นเครื่องไปพร้อมกับตัวเราด้วย และยิ่งถ้ามีโรคประจำตัว ก็ควรจะแบ่งยามาเก็บไว้ในกระเป๋าถือนี้ด้วย ของผมมีแค่เครื่องใช้ประจำวันเท่านั้น เพราะชะล่าใจเกินไป แต่หลังจากที่ผมโวยวายขอเสื้อผ้ามาสำหรับผลัดเปลี่ยน เพราะต้องอยู่ค้างคืนที่ไต้หวัน เจ้าหน้าที่ก็พาไปเอาเสื้อผ้าจากกระเป๋าใหญ่ได้ เลยรอดตัวไป

ผมใช้เวลาเดินดูรอบๆ บริเวณโรงแรมที่พักเพื่อหาข้อมูลและความรู้มาเขียนหนังสือ เพราะคิดว่าโวยวายไปอีกก็ไม่มีประโยชน์ แต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากนัก เพราะโรงแรมที่เขาให้พักเป็นโรงแรมสนามบิน ซึ่งมีไว้เฉพาะการนี้โดยตรง จึงไม่ค่อยมีอะไรให้ดูมาก ร้านขายของก็ไม่มีมีแต่เครื่องหยอดเหรียญอ้อ !… ผมลืมบอกไปว่า ทางสายการบินเขายึดพาสปอร์ตของเราไปเก็บไว้ด้วย เนื่องจากเราไม่มีวีซ่าขอเข้าไต้หวัน เขาจึงกลัวว่าเราหนีไปเที่ยวในเมือง จึงทำให้เราไปไหนไม่ได้ แต่ยังดีหน่อยที่เขาให้เราสามารถโทรศัพท์ไปต่างประเทศได้ฟรี 3 นาที ผมจึงพอโทร. ติดต่อฝากข้อความไว้ที่จุดกลาง เพื่อให้พวกที่นัดกันไว้ติดต่อสอบถามว่าขณะนั้นเราอยู่ไหนได้ และที่โรงแรมก็ไม่มีบริการ Internet ด้วย ซึ่งถ้ามีก็จะดีมาก เพราะเราสามารถทิ้งข้อความฝากไว้ใน Mail Box ได้ เพื่อนๆ และญาติ ก็จะสามารถติดต่อหาข้อมูลของเราได้เช่นกัน ซึ่งวิธีนี้ผมเห็นว่าเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุด…

เวลาที่มีมากไปนี้ผมก็เลยใช้เขียนหนังสือ ?ป ร ะ ส บ ก า ร ณ์ ง า น ช่ า ง? ได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 6 แต่คงจะจืดไปสักหน่อย เพราะอารมณ์มันจืดครับ..