Skip to main content

ตอนที่ 19 – ใบสมัครงาน : ใบลาออก


ประมาณปี พ.ศ. 2518 เมื่อสหรัฐอเมริกาถอนทัพ จากการช่วยเหลือเวียดนามใต้ ในการต่อสู้กับเวียดนามเหนือและ เวียดกง พูดง่าย ๆ ก็คือ อเมริการบแพ้พวกคอมมิวสิสต์หรือเวียดนามเหนือนั่นเอง ขณะนั้น มีการพูดถึงทฤษฎีโดมิโน ว่า เมื่อใดที่เวียดนามใต้แตก ลาวแตก และเขมรแตก เมื่อนั้นการศึกก็คงจะลุกลามมาถึงเมืองไทยเป็นแน่ทำให้ผู้มีอันจะกินทั้งหลายในประเทศเหล่านั้น ต่างพากันอพยพไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาบ้าง แคนาดาบ้าง เป็นเหตุให้เศรษฐกิจ ในขณะนั้นตกต่ำมาก น้ำมันแพง แรงงานถูก ไม่มีคนคิดจะลงทุนทำอะไร และมีคนที่จะคิดหนีจากประเทศไทยไม่น้อย แม้แต่ตัวผมเอง ก็มีญาติข้างภรรยาได้มาชักชวน ให้ไปอยู่ที่อเมริกา แต่ผมไม่ยอมไป เพราะผมคิดว่า ผมเกิดที่เมืองไทย ต้องการที่จะช่วยพัฒนาประเทศไทย และควรจะตายที่เมืองไทยด้วยกัน … ขณะนั้น รัฐบาลไทยมี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรีท่านได้จัดระบบเงินผัน คล้าย ๆ มิยาซาว่าแพลนในปัจจุบันนี้ เพื่อปลุกเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวและเป็นการกระจายรายได้สู่ชนบท คุณบุญชู โรจนเสถียร ซึ่งเป็นรองหัวหน้าพรรคแสบและเป็นผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ซึ่งเป็นซาร์เศรษฐกิจของไทยในช่วงนั้น ท่านได้กำหนดนโยบายให้สร้างสำนักงานใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ จำกัด ขึ้นที่ถนนสีลม เพื่อเป็นการปลุกเศรษฐกิจและกระตุ้นเตือ่นสำนึกงของคนไทยโดยทางอ้อมว่าเจ้าของธนาคารกรุงเทพ ยังไม่หนีไปไหนและมีความมั่นใจในเศรษฐกิจของคนไทยว่าคงจะกระเตื้องขึ้นในเร็ว ๆ นี้ จึงได้ยอมลงทุนสร้างสำนักงานใหญ่ขึ้น หลังจากนั้นก็มีธนาคารอื่น ๆ สร้างตามมา เช่น ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารทหารไทย เป็นต้น ทำให้ในไม่ช้าเศรษฐกิจของไทยก็เริ่มดีขึ้นมาก (แต่ก็ยังไม่มากเท่ากับช่วงปี พ.ศ.2530-2540) ช่วงนั้นผมได้เปลี่ยนอาชีพจากผู้รับเหมามาเป็นวิศวกรที่ปรึกษา แล้ววันหนึ่งผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์วิศวกรท่านหนึ่ง เพื่อรับเข้าทำงานในการสัมภาษณ์นั้นผมพบว่าวิศวกรผู้นี้สำเร็จการศึกษามาแล้ว 3 ปี แต่น่าแปลกใจว่าเขามีประสบการณ์ในการทำงานจากที่ต่าง ๆ มาแล้วถึง 7 แห่ง โดยมีใบผ่านงานมาแสดงเป็นหลักฐานยืนยันซึ่งโครงการที่ผ่นมานั้นก็ล้วนแต่เป็นโครงการใหญ่ ๆ ทั้งสิ้น ผมคำนวณดูคร่าว ๆ แล้วก็นึกขำในใจ เขาเห็นผมทำหน้ายิ้ม ก็สงสัย ผมก็เลยอธิบายให้เขาฟังว่า? ใน 3 ปี มี 36 เดือน ตามระยะเวลาที่เขาสำเร็จการศึกษาออกมาทำงาน และเมื่อหารด้วย 7 คือจำนวนโครงการที่เขาได้ทำมาทั้งหมด จะได้ 5 ซึ่งหมายความว่า ในงานโครงการหนึ่ง ๆ เขาได้ทำงานเพียงแค่ 5 เดือนกว่า ๆ เท่านั้น อนุมานได้ว่าในเดือนแรกเป็นการศึกษางาน เดือนที่ 2 และ 3 เริ่มลงมือทำงาน พอเดือนที่ 4 ก็พบกับปัญหาในการทำงาน ซึ่งมีทุก ๆ งาน เมื่อเขาไม่สู้งานในเดือนที่ 5 จึงเริ่มมองหางานใหม่ และบังเอิญเป็นโชคดีของเขาที่ขณะนั้นวิศวกรกำลังขาดแคลน เขาจึงหางานได้ไม่ยาก แล้ววงจรอุบาทว์นี้ก็เกิดขึ้นกับเขาถึง 7 ครั้ง ดังนั้นใบผ่านงานที่เขานำมาแสดงต่อหน้าผมจึงไม่มีค่าอะไรเลย เป็นเสมือนประกาศนียบัตร แสดงการเป็นผู้เปลี่ยนงานบ่อย และแสดงให้เห็นว่า เขาเป็นคนจับจดไม่สมควรที่จะรับเข้าทำงานใด ๆ ทั้งสิ้นแบบฟอร์มใบสมัครงานที่เขากำลังกรอกอยู่คงไม่มีความจำเป็น เขาต้องการแบบฟอร์มใบลาออกมากกว่า เพราะเขาใช้เปลืองเหลือเกินหลังจากที่เขาฟังผมวิจารณ์ตัวเขาแล้ว เขาก็อึ้งไปครู่ใหญ่ แล้วเขาก็รับปากสัญญากับผมเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า หากผมรับเขาไว้ เขาจะอยู่กับผมจนกว่าจะจบงาน ผมจึงได้ตัดสินใจรับวิศวกรผู้นี้ไว้ซึ่งเขาก้ทำงานอยู่กับผมด้วยดีตลอดมาจนถึงระยะเวลาหนึ่ง นิสัยเก่าถาวรของเขาก็เริ่มปรากฏผมจึงต้องเรียกเขามาตักเตือนและรื้อฟื้นความทรงจำใหม่ ซึ่งก็ทำให้เขายินยอมอยู่กับผมต่อมาจนงานนั้นสำเร็จลงหลังจากนั้นเขาก็ได้ลาออกไปเป็นเจ้าของกิจการเอง

งานก่อสร้างทุกงาน จะยากในตอนเริ่มต้นและจะยุ่งยากมากอีกครั้งในตอนใกล้เสร็จงาน ถ้าเก็บงานไม่เป็น งานอาจจะไม่จบเลยก็ได้ปัจจุบันนี้วิศวกรผู้นี้ได้กลายเป็นเจ้าของกิจการไปแล้วและเขาก็ยังระลึกถึงเหตุการณ์ที่ผมเล่าเปรียบเทียบ เป็นอุทาหรณ์ไว้ในครั้งกระนั้นเสมอ ๆ ว่าที่เขาได้ดีมาจนขณะนี้นั้น?เป็นเพราะอะไร?สมัยปัจจุบันยุคปี 2000 อย่างทุกวันนี้เรื่องที่เล่านี้ก็กลายเป็นนิยายปรัมปราไปเสียแล้วครับ!!